วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เสื่อกกทอมือ

เสื่อกกทอมือ 

ต้นกก






        กกเป็นไม้ล้มลุก (herb) อยู่ในวงศ์ (family) Cyperaceae มีชื่อสามัญเรียกว่า Sedge
พบกระจายอยู่ทั่วโลก มีประมาณ 4000 ชนิด ชอบที่ชื้นแฉะ ขึ้นในที่ระดับต่าตามหนอง บึง ทางระบาย
คันคูน้ำและโคลนเลน ใน 46 ประเทศจัดกกเป็นวัชพืชในนาข้าว และกกทรายหรือกกหัวแดง  (Cyperus iria)   พบใน 22 ประเทศ มีหลายชนิดใช้เป็นอาหาร เช่น Eleocharis toberosa และ Scirpus toberosus
และหลายชนิดใช้สานเสื่อทากระจาด กระเช้า หมวก เช่น Scirpus mucronatus, Lepironia mucronata,
Carex brizoides เป็นต้น
กกนั้นมีรูปร่างลักษณะและนิเวศวิทยาเหมือนหญ้ามาก มีลักษณะที่แตกต่างจากหญ้า คือ
กกมักมีลาต้นตัน (solid) และเป็นสามเหลี่ยมหรือสามมุม (three-amgled) บางชนิดมีผนังกั้นแบ่งเป็นห้อง ๆ (septate) มีกาบใบอยู่ชิดกันมาก และที่สาคัญคือเกือบไม่มีลิ้นใบ (ligule) บางชนิดไม่มีเลย ลักษณะสาคัญอีกประการหนึ่งของกก คือ ดอกแต่ละดอกจะมี glume ห่อหุ้มหรือรองรับเพียงอันเดียว กกมีไหล (rhizome) เลื้อยไปใต้ดินและจากไหลก็จะแตกเป็นลาต้นเรียกว่า culm ที่ตัน (solid) โผล่พ้นขึ้นมาเหนือดิน และเมื่อผ่าลาต้นดูตามขวาง (cross-section) จะมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมหรือสามมุมดังได้กล่าวมาแล้ว ลาต้นกกจะไม่แตกกิ่งเหมือนพืชชนิดอื่น ใบของกกเหมือนกับใบของหญ้า แต่จะเรียงตัวอัดกันแน่นเป็นสามมุมหรือสามตาแหน่งรอบโคนต้นและมีกาบ (sheath) ห่อหุ้มลาต้นและไม่มีลิ้นใบ (ligule)
ช่อดอกกกจะเกิดที่ปลายลาต้นเป็นหลายแบบ เช่น panicle, umbel หรือ spike และมีดอก
ขนาดเล็กเป็นทั้งดอกที่สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์เพศ โดยมีดอกรวมเรียกว่า spikelet ซึ่งประกอบด้วยดอกย่อย(floret) หนึ่งหรือหลายดอก แต่ละดอกมี glume หรือริ้วประดับ (bract) รองรับส่วนกลีบดอกหรือ perianthนั้นไม่มีหรืออาจมีแต่เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นเกล็ด (scale) หรือขนแข็งเล็ก ๆ (bristle) ในดอกกกจะมี
เกสรเพศผู้(filament) แยกกันอยู่ ส่วนเกสรเพศเมียจะมีก้านแยกเป็นสอง – สามแฉกหรือบางครั้งแยกเป็นสอง – สามเส้นและมีรังไข่อยู่เหนือกลีบดอก (supreior) ภายในมีห้องเดียวและมีหนึ่งเมล็ด

ชนิดของกก
       Carex เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายฤดู ลาต้นตั้งตรงเป็นสามเหลี่ยม บางชนิดมีไหลเลื้อยไปใต้ดิน
ใบเรียวแคบช่อดอกมีทั้ง panicle, raceme และ spike มีดอกรวมหรือ spikelet ประกอบด้วยดอกย่อย (floret) เพียงดอกเดียว หรือ spikelet เท่ากับ floret มีทั้งดอกที่มีก้านและไม่มีก้านดอก และไม่มีกลีบดอกส่วนดอกเป็นดอกไม่สมบูรณ์เพศ หรือมีเพศแยกกันอยู่คนละดอก แต่อยู่ในช่อดอกเดียวกันและเกสรเพศผู้มี 3 อันเนื่องจากกกมีลักษณะคล้ายหญ้า จึงทาให้มีผู้เรียกเป็นหญ้าด้วย แต่ความจริงแล้วน่าจะเรียกว่ากกมากกว่า ซึ่งจะได้แยกออกไปจากหญ้าได้บ้าง เช่น
1. หญ้าคมบาง (กกคมบาง) Carex baccans Nees
2. หญ้าคมบาง (กกคมบาง) Carex stramentita Boot
3. หญ้าคมบางเล็ก (กกคมบางเล็ก) Carex indica Linn.
4. หญ้าคมบางขาว (กกคมบางขาว) Carex cruciata Vahl
5. หญ้ากระทิง (กกกระทิง) Carex thailandica T. Koyama
6. หญ้าดอกดิน (กกดอกดิน) Carex tricephala boeck.
     สกุล Carex มีหลายชนิดที่ใช้ประโยชน์ได้แต่ไม่มีในเมืองไทย เช่น
1. Carex atherodes ในทวีปอเมริกาใช้ทาหญ้าแห้ง (hay)
2. Carex brizodies ในยุโรปใช้สานกระจาด กระเช้า
3. Carex dispalatha ในญี่ปุ่นใช้ทาหมวก

       Cyperus เป็นไม้ที่มีอายุฤดูเดียวและหลายฤดู มีทั้งต้นตั้งตรง ลาต้นตันเป็นสามเหลี่ยม
บางครั้งก็กลม ใบเหมือนใบหญ้า ใบที่อยู่แถบโคนต้นจะเปลี่ยนเป็นเกล็ดหรือแน่นห่อหุ้มโคนต้นและไหล ช่อดอกเกิดที่ปลายต้นเป็นหลายแบบ ดอกรวม (spikeltet) ประกอบด้วยดอกย่อย (floret) ดอกเดียวหรือหลายดอกและเป็นดอกที่สมบูรณ์เพศ มีเกสรเพศผู้ 1 – 3 อัน เกสรเพศเมีย 2 – 3 แฉก พืชสกุลนี้มีหลายชนิดเป็นวัชพืช เป็นสมุนไพรประกอบยารักษาโรค เป็นอาหารและใช้ทาภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ Cyperus ชนิดต่าง ๆได้แก่
1. กกขนาก cyperus differmis L. เป็นวัชพืชในนาข้าวและพืชไร่ ลักษณะคล้ายกกทั่วไป
แต่ที่สังเกตง่ายคือ ดอกมีขนาดเล็กจะรวมกันอยู่เป็นกลุ่มคล้ายหัวกลมๆ
2. กกทรายหรือกกหัวแดง Cyperus iria เป็นวัชพืชพบในนาข้าวและพืชไร่ เช่นเดียวกับ
กกขนาก ลักษณะที่เด่นของวัชพืชนี้คือรากมีสีแดงปนเหลือง ช่อดอกสีเหลืองกระจายกว้าง ใบประดับอัน
ล่างสุดที่รองรับช่อดอกมีความยาวกว่าช่อดอก
กกชนิดอื่น ๆ ที่เป็นวัชพืชยังมี เช่น
1. กกขี้หมา (Cyperus polystachyos Roxb)
2. กกนา Cyperus haspan Linn.)
3. กกรังกา (Cyperus digitatus Roxb.)
4. กกรังกาป่า (Cyperus cuspidatus Kunth.)
5. กกลังกา (Cyperus alternifollius Linn.)
6. กกเล็ก (Cyperus pulcherrimus Willd. & Kunth)

กกบางชนิดที่ใช้เป็นสมุนไพรประกอบยารักษาโรคได้ ได้แก่
1. กกขี้หมา (Cyperus polystachyos Roxb.)
2. กกสามเหลี่ยม (Cyperus malaccensis Lamk.)
ใช้ไหล (rhizome) แก้โรคกระเพาะและแก้อาการท้องผูก
กกหลายชนิดที่ใช้เป็นอาหารได้แต่ไม่มีในเมืองไทย เช่น Cyperus esculentus ภาษาอังกฤษ
เรียกว่า Chuta earth almond, tiger nut หรือ rush nut มีไหลซึ่งเป็นที่เก็บอาหารใช้กินได้ มีกกอีกหลายชนิดใช้ประโยชน์ได้แต่ไม่พบในเมืองไทย เช่น Cyperus articulatus และ Cyperus longus ภาษาอังกฤษเรียก galin galeมีไหลที่มีกลิ่นหอมใช้ในอุตสาหกรรมทาน้าหอมได้ Cyperus malacopsus และ Cyperus tegetiformis ภาษาอังกฤษเรียก Chinese mat grass ใช้ทาเสื่อเช่นเดียวกับกกสานเสื่อ หรือกกจันทบุรี(Cyperus corymbosus)ซึ่งมีปลูกกันแพร่หลายในเมืองไทย ส่วนกกอียิปต์ (Cyperus papyrus Linn.) ภาษาอังกฤษเรียก papyrus หรือ]paper reed นั้นแพร่เข้ามาในเมืองไทยนานแล้ว ชอบขึ้นในที่มีน้าขังมีลาต้นกลม ผิวลาต้นเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อกระจุกกลม ๆ ที่ปลายต้นช่อดอกแต่ละช่อจะมีก้านเป็นเส้นเล็กฝอยชูช่อยาวออกไปเหมือนคนผมยุ่ง ในอียิปต์ในโบราณใช้ลาต้นทากระดาษ แต่ในปัจจุบันเลิกใช้แล้ว
Fimbristylis เป็นไม้ล้มลุกอายุฤดูเดียวและหลายฤดู มีไหลสั้น ๆ ลาต้นตั้งตรงมีทั้ง
ต้นกลมและเป็นเหลี่ยม ใบรวมกันอยู่ที่โคนต้น ช่อดอกเกิดที่ปลายต้นคล้ายสกุล Cyperus มีดอกรวม (spikelet) ประกอบด้วยดอกย่อย (floret) ตั้งแต่หนึ่งถึงหลายดอก และเป็นดอกที่สมบูรณ์เพศมีเกสร
เพศผู้ 1 – 3 อัน เกสรเพศเมียมี 2 – 3 แฉก กกสกุลนี้ป่วนมากเป็นวัชพืช พวกที่ใช้เป็นสมุนไพรประกอบ
ยารักษาโรค เช่น กกรัดเขียด (หญ้าหนวดแมว) (Fimbristylis milliaces Vall) และกกหัวขอ (หญ้าหัวขอ)
(Fimbrilstylis aestivalis Vahl) ใช้ทาแผลงูกัดและแก้โรคผิวหนังตามลาดับ สาหรับพวกที่เป็นวัชพืช
และพบบ่อยในนาข้าว และแปลงปลูกพืช เช่น กกเปลือกกระเทียมทราย (Fimbristylis acuminata Vahl)
กกนิ้วหนู (Fimbristylis dichotoma Vahl) กกกุกหมู (Fimbristylis monostachyos Hassk.) เป็นต้น Scirpus เป็นไม้อายุฤดูเดียวและหลายฤดูมีไหลใต้ดิน ลาต้นตั้งตรงเป็นเหลี่ยม บางครั้ง
เกือบกลม บางชนิดจมอยู่ใต้ดินหรือลอยที่ผิวน้า ใบมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป บางครั้งก็ไม่มีช่อดอกเกิด
ที่ปลายต้นหรือบางครั้งเกิดที่ด้านข้างของลาต้นแต่ค่อนไปทางส่วนยอด ดอกรวม (spikelet) ประกอบด้วย
หลายดอกย่อย (floret) และเป็นดอกที่สมบูรณ์เพศมีเกสรเพศผู้ 1 – 3 อัน และเกสรเพศเมีย 2 – 3 แฉก พวกที่เป็นวัชพืชและรู้จักกันดีคือ กกสามเหลี่ยมหรือกกตะกรับ (Scirpus grosus L.f) มีลาต้นตั้งตรงมีขนาดใหญ่
และเป็นสามเหลี่ยม ผิวลาต้นเรียบเป็นมัน ช่อดอกเกิดที่ปลายต้น ในสมัยอินเดียโบราณใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย และลาต้นใช้สานเสื่อและทาเชือกได้ ส่วนกกทรงกระเทียม(Scirpus articulatus Linn.) ใช้เป็นยาระบายหรือยาขับถ่าย อีกชนิดหนึ่งมีปลูกกันมากในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย คือ กกกลมหรือกกยูนนาน (Scirpus mucronatus Linn.) ใช้ทาเชือกและสายเสื่อโดยเฉพาะมีลาต้นเกือบกลม ตั้งตรงมีความสูงกว่ากกกลมเล็กน้อย แต่ที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ ช่อดอกจะเกิดเป็นช่อกระจกทางด้านข้างของลาต้นและค่อนไปทางส่วนปลายต้น ช่อดอกเกิดจากจุดเดียวกันและกระจายออกไปรอบด้านเหมือนรูปดาว ชาวบ้านจะแยกไหลจากคอเดิมไปขยายพันธุ์และจะตัดเมื่อมีอายุราว3 เดือน ก่อนที่ต้นจะออกดอกใช้เวลาตากแดด 4 – 5 วัน ในต่างประเทศ เช่น อเมริกาเหนือใช้ลาต้นของScirpus lacustris สานทากระจาดที่นั่งและสานเสื่อ อีกชนิดหนึ่ง คือ Scirpus tatara ใช้ทาแพและเรือคานู(canoe) ส่วนในจีนและญี่ปุ่นใช้กินหัวของ Scirpus tuberosus ทั้งสามชนิดดังกล่าว ไม่มีในบ้านเรากกราชินี

ชื่อทางการค้า : กกราชินี, กกรังกา, กกลังกา
ชื่อวิทยาศาสตร์: Cyperus involucratus Roxb. ชื่อพ้อง Cyperus alternifolius L. ชื่อวงศ์: CYPERACEAE
ชื่อสามัญ: Umbrella Plant ชื่อท้องถิ่น: กกรังกา, หญ้ากก, กกกลม, ถิ่นกาเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะพืช: ไม้ล้มลุก ลักษณะทั่วไป: เป็นวัชพืชน้าที่เจริญได้ดีในช่วงฤดูฝนมีลักษณะแตกกอ ลาต้นเหนียว เมื่อออกดอกปลายฤดูฝน เมล็ดก็จะร่วงลงดิน และจะเจริญในฤดูฝนปีต่อมา การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด แยกกอ
      กกราชินี หากมองเผิน ๆ อาจจะคล้ายกับกกร่ม ต่างกันที่กกราชินีมีขนาดเล็กกว่า ใบแผ่ออกเป็นแฉกตรง ไม่ห้อยลู่ลงเหมือนกกร่ม การปลูกเลี้ยง ถ้าปลูกในบ่อหรือสระจะงามและโตเร็วกว่าในกระถาง เพราะได้รับน้าและธาตุอาหารที่มากกว่า ถ้าปลูกในกระถางต้องมีน้าเลี้ยงต้นไม้ตลอดอย่าให้น้าแห้งต่ากว่าโคนราก ถ้ากอแน่นควรแยกปลูก เป็นไม้ที่ชอบแดดเต็มวัน แต่ก็สามารถนามาประดับไว้ภายในหรือห้องน้าได้ แต่ควรหมั่นให้ต้นไม้ได้รับแสงธรรมชาติบ้าง ดินปลูกใช้ดินเหนียว ปัญหาปลายใบไหม้ อาจเกิดจากต้นไม้ขาดน้า แล้วได้รับแสงแดดที่จัดในหน้าร้อน ทาให้ความสมดุลภายในเซลพืชไม่ดี จึงทาให้เกิดการไหม้ที่ปลายใบสามารถเกิดได้ทั้งที่ใบอ่อนและใบแก่ หรือเกิดจากเชื้อโรคเข้าทาลาย หรือเกิดจากการต้นไม้ได้รับปุ๋ยที่เข้มข้นเกินไป หรือดินเค็ม ก็อาจส่งผลทาให้เกิดอาการไหม้ที่ปลายใบได้ การปลูกต้นไม้น้าในกระถาง ควรมั่นดูแลเรื่องน้าเป็นสาคัญ เพราะจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและควรมีการเปลี่ยนดิน หรือเปลี่ยนกระถางบ้างหรือแยกต้นปลูกเมื่อต้นไม้แน่นเกินไป อาการปลายใบถ้าไหม้ ก็ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ไหม้ทาลายเสีย

การปลูก
1. การเลือกที่ดิน กกชอบขึ้นในที่ดินเลน แต่ต้องอยู่ในที่ลุ่ม มีน้าขังเสมอหรือน้าขึ้นถึงทุกวันได้ยิ่งดี
ระดับน้ำในนากกประมาณ 25 – 30 เซนติเมตร
2. การเตรียมที่ดิน เมื่อเลือกหาพื้นที่ดินพอสาหรับปลูกกกได้แล้ว จัดการถางไถให้ดินซุย และให้
หญ้าตายเช่นเดียวกับนาข้าว เพราะหญ้าเป็นศัตรูของกกเหมือนกัน ทั้งต้องทาคันนาไว้สำหรับขังน้ำได้
เช่นเดียวกับการทาคันนาข้าว ที่ ๆ สาหรับปลูกกกนี้ เรียกว่า นากก
3. การปักดา การดานากกเหมือนการดานาข้าว ใช้หัวกกที่ติดอยู่กับลาต้นตัดปลายทิ้งแล้วให้เหลือ
ยาวเพียง 50 เซนติเมตร มัดเป็นกา ๆ นาเอาพันธุ์เหล่านั้นไปยังนากกที่เตรียมแล้ว แยกออกเป็นหัว ๆ ดำลงไปในนากกห่างกันประมาณ 25 – 30 เซนติเมตร แต่การดานั้นจะต้องพิจารณาถึงพื้นที่ด้วย คือ ถ้าที่ดินดีมีปุ๋ยมากก็ดาห่างหน่อย ถ้าที่ดินไม่ดีก็ให้ดาถี่ ๆ พื้นที่ไร่หนึ่งต้องใช้หัวกกประมาณ 600 – 700 กา
4. การบารุงรักษา เมื่อเสร็จจากการดาเรียบร้อยแล้ว ชาวนากกก็หมดภาระที่หนัก เหลือแต่งาน
เล็ก ๆ น้อย ๆ คือ
4.1 การทารั้ว รั้วนี้เป็นรั้วป้องกันวัวควายที่จะมาเหยียบย่าในนากก หรือกัดกินต้นกกที่ลัด
ขึ้นมา
4.2 การถอนหญ้า การถอนหญ้าในนากก นาน ๆ จะมีการถอนหญ้าสักครั้ง เมื่อเห็นว่ามี
หญ้าขึ้นมาก บางแห่งไม่ต้องถอนหญ้าเลย เพราะเมื่อกกขึ้นแน่นหนา หญ้าไม่สามารถจะขึ้นมาได้
4.3 การใส่ปุ๋ย ตามปกตินากกเมื่อดาลงไปแล้วครั้งหนึ่งไม่ต้องดาอีกหลาย ๆ ปี บางแห่ง
ไม่ต้องดาเลย 10 ปี ถึง 15 ปีก็มี เพราะตัดต้นกกไปแล้ว หัวกกยังอยู่ จะแทงหน่อขึ้นมาเป็นลาต้นอีก
และเมื่อเห็นว่ากกที่ขึ้นนั้นไม่งามควรหาปุ๋ยมาใส่ลงในนากก ปุ๋ยที่กกชอบมากที่สุด คือ ปุ๋ยขี้เป็ด ปลาเน่า
และขี้น้าปลา เป็นต้น
4.4 การซ่อมแซม เมื่อเห็นว่าช่วงไหนที่กกห่างหรือหัวกกตาย ไม่มีลาต้นแทงหน่อขึ้นมา
ให้ใช้หัวกกดาแซมลงไปมากน้อยตามแต่สมควร
การเก็บเกี่ยว
เมื่อต้นกกที่ดามาแก่ตัวพอแล้ว ประมาณ 4 – 5 เดือน สังเกตได้จากดอกกกมีสีเหลือง โดยมากมักจะ
ตัดกกกันในฤดูฝน เมื่อกกแก่เต็มที่แล้ว ถ้าไม่มีการตัดมันจะเน่าเหี่ยวแห้งฟุบลง แล้วพอฝนเริ่มตกก็แทงหน่อลัดขึ้นมาใหม่เช่นนี้เสมอ ความยาวของต้นกกที่ยาวที่สุด ตั้งแต่ 140 – 180 เซนติเมตร

ประโยชน์ของต้นกก
1. ทำเป็นเสื่อสำหรับนอน สาหรับปูพื้นในห้องรับแขกแทนพรม และปูลาดตามพื้นโบส์ถวิหาร
เพื่อความสวยงาม
2. ทำเป็นกระเป๋า แทนกระเป๋าหนัง ทาเป็นรูปต่าง ๆ ได้หลายแบบ แล้วแต่ผู้ประดิษฐ์คิดค้นแบบ
ต่าง ๆ กัน ทาเป็นกระเป๋าสตางค์ ทาเป็นกระเป๋าหิ้วสตรี กระเป๋าใส่เอกสาร แต่ปัจจุบันมีผู้ทากันน้อย
เพราะกระเป๋าหนัง กระเป๋าพลาสติก ราคาถูกลงมากการทาไม่ค่อยคุ้มค่าแรงงาน
3. ทำเป็นหมอน เช่น หมอนรองที่นั่ง หมอนพิงพนักเก้าอี้ เรียกว่า หมอนเสื่อ
4. ทำเป็นกระสอบ เรียกว่ากระสอบกก
5. ทำเป็นเชือกสาหรับมัดของที่ห่อแล้ว ตามร้านค้าทั่วไปนิยมใช้เชือกกก เพราะราคาถูกมาก
6. ทำเป็นหมวก ใช้กันแดด กันความร้อนจากแสงแดด กันฝน หรือเพื่อความสวยงาม
7. ทำเป็นกระจาดใส่ผลไม้ หรืออาหารแห้ง
8. การใช้งานด้านภูมิทัศน์ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับริมสระน้า ในสวน หรือปลูกในภาชนะร่วมกับ
ไม้น้ำอื่น ๆ
9. เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน และต้นกกมีคุณสมบัติในการบาบัดน้ำเสีย ปรับสมดุล
นิเวศน์วิทยา
10. ใช้เป็นยารักษาโรค เช่น
      – ใบ ตาพอกฆ่าพยาธิบาดแผล
      – ต้น รสเย็นจืด ต้มเอาน้าดื่ม รักษาโรคท่อน้าดีอักเสบ ขับน้าดี
      – ดอก รสฝาดเย็น ต้มเอาน้าอม แก้แผลเปื่อยพุพองในปาก
      – เหง้า รสขม ต้มเอาน้้ำดื่ม หรือบดเป็นผง ละลายน้าร้อนดื่ม บำรุงธาตุ  เจริญอาหาร แก้เสมหะ ขับน้ำลาย
      – ราก รสขมเอียน ต้มเอาน้าดื่ม หรือตากับเหล้า คั้นเอาน้าดื่ม แก้ช้าใน ขับโลหิตเน่าเสีย

สีย้อม
สีย้อม (dyestuffs) คือ สีชนิดหนึ่งที่ใช้ในการย้อมเส้นใยของผ้า อาจจะเป็นสารอินทรีย์หรือสารอนินทรีย์ก็ได้ มีลักษณะเป็นผลึกหรือผงละเอียด สีย้อมบางชนิดละลายน้าได้ บางชนิดจะไม่สามารถละลายน้าแต่จะละลายในตัวทาละลายอินทรีย์ได้ เมื่อนาสีย้อมไปใช้ในกระบวนการย้อมจะทาให้โมเลกุลของสีย้อมซึมผ่านเข้าไปในโมเลกุลของเส้นใยโดยจะทาลายโครงสร้างผลึกของวัตถุนั้นชั่วคราว ซึ่งอาจเกิดพันธะไอออนิก(ionic bond) หรือพันธะโควาเลนท์ (covalent bond) กับวัตถุที่ต้องการย้อมโดยตรง สีที่เห็นจากสีย้อมนั้นเกิดจากอิเล็กตรอนในพันธะคู่ซึ่งอยู่ในโมเลกุลของสีย้อมนั้นมีความสามารถดูดกลืนพลังงานในช่วงสเปคตรัมต่างกัน พลังงานแสงที่สายตามองเห็นจะมีความยาวคลื่นช่วง 400 – 700 นาโนเมตร สีย้อมที่มีโครงสร้างทางโมเลกุลต่างกันจะมีความสามารถในการดูดกลืนพลังงานแสงที่ช่วงความยาวคลื่นต่างๆ กันไป ซึ่งสายตาสามารถรับภาพได้ จึงทาให้โมเลกุลสีย้อมต่างโทนสีกันแสดงสีให้เราเห็นด้วยสายตาออกมาเป็นต่างกันไป ทั้งนี้เราสามารถแบ่งสีย้อมออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

สีย้อมธรรมชาติ ( natural dyestuffs) เป็นสีย้อมที่มาจากแหล่งธรรมชาติ โดยเฉพาะพืชและสัตว์ สีย้อมที่มาจากส่วนประกอบพืช เช่น ส่วนลาต้น ส่วนดอก ส่วนที่เป็นเปลือก ส่วนที่เป็นใบ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น สีดาจากลูกมะเกลือ สีน้าเงินจาก ต้นคราม สีเหลืองจากเนื้อไม้โอ๊ก สีแสดจากดอกกรรณิการ์ สีแดงจากรากต้นเข็ม ส่วนสีย้อมที่มาสัตว์ เช่น สีม่วงแดงของครั่ง สีม่วงจากหอยสังข์หนาม เป็นต้น

สีย้อมสังเคราะห์ (synthetic dyestuffs) เป็นสีย้อมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทางเคมี
ปัจจุบันสีอินทรีย์สังเคราะห์ (เช่น สีย้อมอะโซ) ถูกใช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมสารเคมีที่เกี่ยวกับสี รวมทั้งกระบวนการผลิตสีย้อม โดยกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมได้จาแนกสีย้อมตามวิธีใช้ออกเป็น 11 ประเภท คือ (1) สีเอซิด (2) สีไดเร็กท์ (3) สีเบสิก (4) สีดิสเพอร์ส (5) สีรีแอกทีฟ (6) สีอะโซอิค (7) สีแว็ต (8) สีมอร์แดนท์ (9) สีอินเกรน (10) สีออกซิเดชั่น และ (11) สีซัลเฟอร์ ซึ่งสีย้อมแต่ละประเภทจะมีสูตรโครงสร้างทางเคมี สมบัติของสีย้อม ตลอดจนวิธีใช้ต่างกันและจากกระบวนการผลิต พบว่า ประมาณ 10-15% ของสีย้อมจะถูกปล่อยไปสู่สิ่งแวดล้อมในระหว่างกระบวนการย้อมสีสารตั้งต้นต่างๆ เช่น เส้นใยสิ่งทอที่ได้จากธรรมชาติและจากการสังเคราะห์ พลาสติก หนัง กระดาษ น้ามันถ่านหิน ขี้ผึ้ง และที่สาคัญคือ อาหารและเครื่องสาอาง สีย้อมบางชนิดพบว่าเป็น
สารพิษ หรือสารกัดกร่อน เป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ และเมื่อได้รับสะสมไปเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
สารเคมีในอุตสำหกรรมสีย้อม ตำรำงแสดงประเภทและสมบัติของสีย้อม ประเภทของสีย้อม สมบัติ
1. สีเอซิด (acid dye)
เกิดจากสารประกอบอินทรีย์ มีประจุลบ ละลายน้าได้ดี ส่วนใหญ่เป็นเกลือของกรดกามะถัน กลไกในการติดสีเกิดเป็นพันธะไอออนิก ใช้ย้อมเส้นใยโปรตีน
2. สีไดเร็กท์ (direct dye) หรือสีย้อมฝ้าย
เป็นสารประกอบอะโซที่มีน้าหนักโมเลกุลสูง มีหมู่กรดซัลโฟนิคที่ทาให้ตัวสีสามารถละลายน้าได้ มีประจุลบ นิยมใช้ย้อมเส้นใยเซลลูโลส
3. สีเบสิก (basic or cationic dye)
เป็นเกลือของเบสอินทรีย์ ให้ประจุลบ ละลายน้าได้ดี นิยมใช้ย้อมเส้นใยโปรตีน ไนลอนและใยอะคริลิกได้ดี
4. สีดิสเพอร์ส (disperse dye)
ไม่ละลายน้าแต่มีสมบัติการกระจายได้ดี สามารถย้อมเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ไนลอน และอะคริลิกได้ดี สีดิสเพอร์สแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยพิจารณากลุ่มเคมีในตัวสีย้อม ได้แก่ สีย้อมอะโซ และสีย้อมแอมมิโน แอนทราคิวโนน
5. สีรีแอกทีฟ (reactive dye)
ละลายน้าได้ มีประจุลบ เมื่ออยู่ในน้าจะมีสมบัติเป็นด่าง เหมาะกับการย้อมเส้นใยเซลลูโลสมากที่สุด สีรีแอกทีฟมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ย้อมติดที่อุณหภูมิสูง 70-75 ? C และกลุ่มที่ย้อมติดที่อุณหภูมิปกติ
6. สีอะโซอิค (azoic acid)
ไม่สามารถละลายน้าได้ การที่สีจะก่ออรูปเป็นเส้นใยได้ต้องย้อมด้วยสารประกอบฟีนอลซึ่งละลายน้าได้ก่อน แล้วย้อมทับด้วยสารไดอะโซคอมโพแนนท์จึงจะเกิดเป็นสีได้ ใช้ย้อมเส้นใยได้ทั้งเซลลูโลส ไนลอน หรือ อะซิเตท
7. สีแว็ต (cat dye)
ไม่สามารถละลายน้าได้ เมื่อทาการย้อมต้องเตรียมน้าย้อมให้สีแว็ตละลายน้า โดยให้ทาปฏิกิริยากับสารรีดิวซ์และโซเดียมไฮดรอกไซด์ สีแว็ตมีส่วนประกอบทางเคมีที่สาคัญ 2 ชนิด
8. สีมอร์แดนท์ หรือโครม (mordant or chrome dye)
เป็นสีที่มีโมเลกุลใหญ่ ซึ่งเกิดจากสีมอร์แดนท์หลายโมเลกุลจับกับโลหะแล้วละลายน้าได้ จึงทาให้ย้อมได้ง่าย ใช้ย้อมเส้นใยโปรตีนและเส้นใยพอลีเอไมด์ได้ดี
9. สีอินเกรน (Ingrain dye)
ไม่ละลายน้า โดยเกิดเป็นคอลลอยด์หลังจากเกิดปฏิกิริยากับน้า ใช้สาหรับย้อมฝ้าย
10. สีออกซิเดชัน (oxidation dye)
ไม่ละลายน้า อาศัยปฏิกิริยาการตกตะกอนผลึกภายในเส้นใย ใช้ย้อมฝ้ายและขนสัตว์
11. สีซัลเฟอร์ (sulfer dye)
ไม่ละลายน้า เมื่อทำการย้อมต้องรีดิวซ์สีเพื่อให้โมเลกุลอยู่ในสภาพที่ละลายน้าได้ นิยมนามาย้อมฝ้าย


วัสดุ/อุปกรณ์ในการทำ
1.กรรไกร
2. กกหรือไหล
3. เชือกไนลอนหรือเชือกเอ็น
4. ฟืมทอเสื่อ 1 เมตร
5. โฮมทอเสื่อ กว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร
6. ไม้สอดกก
7. สียอมกก

วิธีการ / ขั้นตอนกำรทำ
ขั้นตอนที่ 1 กำรสอยต้นกก
1. ตัดต้นกกสด
2. คัดเลือกต้นกกที่มีขนาดเท่ากันไว้ด้วยกัน
3. นาต้นกกที่คัดแล้วมาสอยเป็นเส้นเล็กโดยใช้มีดปลายแหลมคม(มีดแกะสลัก)
4. นาเส้นกกที่สอยแล้วมาผึ่งแดด ให้แห้ง(ถ้าเป็นไปได้ต้องเป็นแดดที่กล้าจัด)
5. นาเส้นกกสอยที่ตากแห้งแล้วมากมัดเป็นมัด ๆ รอการย้อมสี

ขั้นตอนที่ 2 กำรย้อมสี
1. เลือกซื้อสีสาหรับย้อมกกสี่ต่าง ๆ ที่มีสีสันสวยงาม เช่น สีแดง สีชมพู สีเหลือง สีม่วง สีดา สีเขียว เป็นต้น
2. ก่อไฟโดยไฟที่ใช้ต้องสม่าเสมอ
3. นาปี๊ป หรือกระทะใส่น้าพอประมาณท่วมเส้นกกนามาตั้งบนเตารอให้น้าเดือด
4. พอน้าเดือดก็นาสีที่เลือกมาเทลง
5. นาเส้นกกที่คัดเลือกแล้วลงย้อมจนเพียงพอที่จะใช้ในการทอ
6. นาเส้นกกที่ย้อมสีแล้วลงล้างในน้าเปล่าแล้วนาไปตากแดดที่จัดจนแห้ง
7. นาเส้นกกที่ย้อมสีตากแห้งแล้วมากเก็บมัดรวมกัน โดยแยกเป็นสี แต่ละสี

ขั้นตอนที่ 3 การทอเสื่อกกลำยขิด ลำยพื้นบ้ำนและลายบำ
1. กางโฮงที่ทาสาเร็จรูปแล้วมากาง (โฮงที่ใช้ขนาดทอคนเดียว)
2. นาเชือกในลอนสาหรับทอเสื่อมาโยงใส่ฟืมจนเสร็จ
3. ฟืมที่ใช้ต้องมีขนาดเท่ากับเส้นกกและฟืมแต่ละฟืมก็อาจจะใช้ทอลายไม่เหมือนกัน
4. นาเส้นกกที่ย้อมสีตามจนแห้งแล้วนามาทอเสื่อลายขิดตามต้องการซึ่งมีหลายลายด้วยกัน
5. นาเส้นกกที่สอยและย้อมสีแล้วเลือกว่าจะใช้สีใดบ้างที่จะทอเสื่อ
6. เลือกลายแล้วเริ่มทอจนเป็นแผ่น
7. พอทอเสร็จก็ตัดแล้วหลังจากนั้นก็นาไปตากแดดเพื่อให้สีไม่ออก
8. หลังจากนั้นก็นามาเก็บในที่ร่ม







วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความเป็นมาของเครื่องจักสานไทย

ความเป็นมาของเครื่องจักสานไทย

ความเป็นมาของเครื่องจักสานไทย
การทำเครื่องจักสานในประเทศไทย มีการทำสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์นักโบราณคดีได้พบหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการทำเครื่องจักสานในยุคหินใหม่ที่บริเวณถ้ำแห่งหนึ่งในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่เป็นลายขัดสองเส้นประมาณว่ามีอายุราว 4,000 ปีมาแล้ว
การทำเครื่องจักสานยุคแรก ๆ มนุษย์จะนำวัตถุดิบจากธรรมชาติเท่าที่จะหาได้ใกล้ตัวมาทำให้เกิดประโยชน์ เช่น การนำใบไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ประเภทเถานำมาสานมาขัดเป็นรูปทรงง่ายๆ เพื่อใช้เป็นภาชนะหรือมาสานขัดกันเป็นแผ่นเพื่อใช้สำหรับปูรองนั่ง รองนอน ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นเครื่องจักสานที่มีความประณีตในยุคต่อๆ มา เครื่องจักสานเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่มนุษย์คิดวิธีการต่างๆ ขึ้นเพื่อใช้สร้างเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันด้วยวิธีการสอดขัดและสานกันของวัสดุ 
ที่เป็นเส้นเป็นริ้ว โดยสร้างรูปทรงของสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นนั้นตามความประสงค์ในการใช้สอยตามสภาพภูมิศาสตร์ ประสานกับขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อศาสนาและวัสดุในท้องถิ่นนั้นๆ
การเรียกเครื่องจักสานว่า “จักสาน” นั้น เป็นคำที่เรียกขึ้นตามวิธีการที่ทำให้เกิดเครื่องจักสาน เพราะเครื่องจักสานต่างๆ จะสำเร็จเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ได้นั้นต้องผ่านกระบวนการ ดังนี้
1. การจัก คือการนำวัสดุมาทำให้เป็นเส้น เป็นแฉก หรือเป็นริ้วเพื่อความสะดวกในการสาน ลักษณะของการจักโดยทั่วไปนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของวัสดุแต่ละชนิดซึ่งจะมีวิธีการเฉพาะที่แตกต่างกันไป หรือบางครั้งการจักไม้ไผ่หรือหวายมักจะเรียกว่า “ตอก” ซึ่งการจักถือได้ว่าเป็นขั้นตอนของการเตรียมวัสดุในการทำเครื่องจักสานขั้นแรก
2. การสาน เป็นกระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่นำวัสดุธรรมชาติมาทำประโยชน์โดยใช้ความคิดและฝีมือมนุษย์เป็นหลัก การสานลวดลายจะสานลายใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการใช้สอย ซึ่งมีด้วยกัน 3 วิธี คือ 
- การสานด้วยวิธีสอดขัด 
- การสานด้วยวิธีการสอดขัดด้วยเส้นทแยง 
- การสานด้วยวิธีขดเป็นวง
3. การถัก เป็นกระบวนการประกอบที่ช่วยให้การทำครื่องจักสานสมบูรณ์ การถักเครื่องจักสาน เช่น การถักขอบของภาชนะจักสานไม้ไผ่ การถักหูภาชนะ เป็นต้น การถักส่วนมากจะเป็นการเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างภายนอก เช่น ขอบ ขา ปาก ก้น ของเครื่องจักสาน และเป็นการเพิ่มความสวยงามไปด้วย
มูลเหตุที่ทำให้เกิดเครื่องจักสานที่สำคัญ 3 ประการดังนี้
1. มูลเหตุจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต การดำรงชีวิตในชนบทจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยเครื่องมือเครื่องใช้พื้นบ้าน ที่สามารถผลิตได้เองมาช่วยให้เกิดความสะดวกสบาย โดยเฉพาะผู้มีอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นประเภทต่างๆ ตามหน้าที่ใช้สอยดังนี้

1.1 เครื่องจักสานที่ใช้ในการบริโภค ได้แก่ ซ้าหวด กระติ๊บ แอบข้าว หวดนึ่งข้าวเหนียว ก่องข้าว กระชอน กระด้ง ฯลฯ 
1.2 เครื่องจักสานที่ใช้เป็นภาชนะ ได้แก่ กระบุง กระจาด ซ้ากระทาย กระบาย กะโล่ กระด้ง ชะลอม ฯลฯ 
1.3 เครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องตวง ได้แก่ กระออม กระชุ กระบุง สัด ฯลฯ 
1.4 เครื่องจักสานที่ใช้เป็นเครื่องเรือนและเครื่องปูลาด ได้แก่ เสื่อต่าง ๆ 
1.5 เครื่องจักสานที่ใช้ป้องกันแดดฝน ได้แก่ หมวก กุ๊บ งอบ ฯลฯ 
1.6 เครื่องจักสานที่ใช้ในการดักจับสัตว์ ได้แก่ ลอบ ไซ อีจู้ ชะนาง จั่น ฯลฯ 
1.7 เครื่องจักสานที่ใช้เกี่ยวกับความเชื่อ ประเพณีและศาสนา ได้แก่ ก่องข้าวขวัญ ซ้าสำหรับใส่พาน สลาก ฯลฯ
2. มูลเหตุที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติตามสภาพภูมิศาสตร์ เพราะชาวไทยส่วนใหญ่มีอาชีพทางเกษตรกรรม จึงจำเป็นต้องทำมาหากินกันตามสภาพสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้นการทำเครือ่งจักสานที่เห็นได้ชัด คือ เครื่องมือเครื่องใช้ในการจับปลาและสัตว์น้ำจืด ได้แก่ ลอบ ไซ ชะนาง โดยทำด้วยไม้ไผ่และหวาย ซึ่งรูปแบบและโครงสร้างจะสร้างขึ้นให้เหมาะสมกับการใช้สอย และครุ ใช้สำหรับตีข้าวของทางภาคเหนือ เป็นต้น
3. มูลเหตุที่เกิดจากความเชื่อ ขบธรรมเนียมประเพณี และศาสนา ครื่องจักสานจำนวนไม่น้อยเกิดขึ้นจากผลของความเชื่อของท้องถิ่น ซึ่งจะเห็นได้จากการสานเสื่อปาหนันเพื่อใช้ในการแต่งงานของภาคใต้ เป็นต้น
นอกจากข้อมูลอันสำคัญทั้ง 3 ประการแล้ว ปัจจุบันพบว่าในหลายท้องถิ่น เครื่องจักสานได้กลายมาเป็นอาชีพรองจากการทำไร่ ทำนา เพื่อจำหน่ายเป็นรายได้พิเศษในช่วงต่อไป
วัสดุที่ใช้ทำเครื่องจักสาน
1. ไม้ไผ่ เป็นไม้ที่ใช้ทำเครื่องจักสานมากมายหลายชนิด มีลักษณะเป็นไม้ปล้อง เป็นข้อ มีหนาม และแขนงมาก เมื่อแก่จะมีสีเหลือง โดยจะนำส่วนลำต้นมาใช้จักเป็นตอกสำหรับสานเป็นภาชนะต่างๆ
2. กก เป็นพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งที่ชอบขึ้นในที่ชื้นและมีขึ้นทั่วไป เช่น ในนา ริมหนอง บึง และที่น้ำท่วมแฉะ ลำต้นกลมหรือสามเหลี่ยม มีทั้งชนิดลำต้นใหญ่ยาว และลำต้นเล็กและสั้น ส่วนมากนำมาทอเสื่อมากกว่านำมาสานโดยตรง
3. แหย่ง มีลักษณะคล้ายไม้ไผ่แต่อ่อนนุ่มกว่า ไม่มีข้อ แข็งกว่าหวายใช้ได้ทนกว่ากก ชอบขึ้นตามที่แฉะ มีผิวเหลืองสวย ใช้สานเสื่อ ทำฝาบ้าน เป็นต้น
4. หวาย จะขึ้นในป่าเป็นกอๆ ส่วนมากจะใช้ประกอบเครื่องจักสานอื่นๆ แต่ก็มีการนำหวายมาทำเครื่องจักสานโดยตรงหลายอย่าง เช่น ตะกร้าหิ้ว ถาดผลไม้ เป็นต้น
5. ใบตาลและใบลาน ลำต้นสูงคล้ายมะพร้าว ใบเป็นแผงใหญ่คล้ายพัด จะนำมาทำเครื่องจักสานโดยจักในออกเป็นเส้นคล้ายเส้นตอก แต่ต้องใช้ใบอ่อน ส่วนใหญ่จะใช้สานหมวกและงอบ
6. ก้านมะพร้าว ใช้ก้านกลางใบของมะพร้าว เหลาใบออกให้เหลือแต่ก้าน แล้วนำมาสานเช่นเดียวกับตอก ส่วนมากสานเป็นตะกร้า กระจาดผลไม้เล็กๆ
7. ย่านลิเภา มีลักษณะเป็นเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง มีขนาดเท่าหลอดกาแฟ ขึ้นตามภูเขา เทือกเขา และป่าละเมาะ ในการใช้ต้องนำลำต้นมาลอกเอาแต่เปลือกแล้วจักเป็นเส้นๆ ย่านลิเภาส่วนใหญ่จะนำมาสานเป็นลาย เชี่ยนหมาก พาน เป็นต้น
8. กระจูด เป็นพันธุ์ไม้ตระกูลเดียวกับกก ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ ลักษณะลำต้นเป็นต้นกลมๆ ขนาดนิ้วก้อย ก่อนนำมาสานจะต้องนำลำต้นมาผึ่งแดดแล้วทุบให้แบนคล้ายเส้นตอกก่อน แล้วจึงสาน
9. เตยทะเล เป็นต้นไม้จำพวกหนึ่งใบยาวคล้ายใบสับปะรดหรือใบลำเจียก ขึ้นตามชายทะเล ใบมีหนาม ก่อนนำมาสานต้องจักเอาหนามริมใบออกแล้วย่างไฟ แช่น้ำ แล้วจึงจักเป็นเส้นตอก
10. ลำเจียก หรือปาหนัน เป็นต้นไม้จำพวกเดียวกับเตย
11. คล้า เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งคล้ายต้นข่า หรือกก มีผิวเหนียว ใช้สานภาชนะเช่นเดียวกับหวายและไม้ไผ่
หมายเหตุ ย่านลิเภา คล้า กระจูด เตย ลำเจียก เป็นวัสดุพื้นบ้านที่มีเฉพาะภาคใต้
ที่มา: หนังสือเครื่องจักสานในประเทศไทย
re-f 24